หลวงพ่อปาน (พระครูพิพัฒนิโรธกิจ)
วัดปานประสิทธาราม (วัดปีกกา) ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ
สารบัญ

เกิด
พ.ศ. 2368, ต.บางเหี้ย อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ
บวช
วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) จ.ธนบุรี
พระอุปัชฌาย์
เจ้าคุณศรีศากยมุนี
พี่น้อง
5 คน
ประวัติครอบครัว
หลวงพ่อปานเกิดในรัชการพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชการที่ 3) มีโยมบิดาชื่อหนูจีน โยมมารดาชื่อตาล ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 5 คน คือ
- คนที่ 1 ชื่อนายเทพย์
- คนที่ 2 ชื่อนายทัต
- คนที่ 3 ชื่อนายปาน (หลวงพ่อปาน)
- คนที่ 4 ชื่อนายจันทร์
- คนที่ 5 ชื่อนางแจ่ม
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ตราพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้นใช้ ลูกหลานของหลวงพ่อปาน ได้ใช้ชื่อของบรรพบุรษมาตั้งเป็นนามสกุลว่า "หนูเทพย์"
ประวัติการบวชและการศึกษา
โยมบิดามารดาได้พาหลวงพ่อปานไปฝากไว้กับท่านเจ้าคุณศรีศากสุนทร เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) จ.ธนบุรี ต่อมาได้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ที่วัดแจ้งมาตั้งแต่เด็กๆ เพื่อศึกษาพระธรรมวินัย
เมื่ออายุครบบวช ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดแจ้ง โดยมีท่านเจ้าคุณศรีศากยมุนีเป็นพระอุปัชฌาย์
หลังจากอุปสมบทแล้ว หลวงพ่อปานได้อยู่ศึกษาพระธรรมวินัยกับท่านเจ้าคุณผู้เป็นพระอุปัชฌาย์หลายปี และมีความสนใจในทางกรรมฐานเป็นอย่างมาก เพราะกรรมฐานเป็นธรรมพิเศษของพระพุทธศาสนา เป็นเครื่องซักฟอก และถ่ายถอนความคิดเห็นที่ผิดของตน อันเป็นพื้นเพของจิตที่มีเชื้อวัฏฏะ จมอยู่ภายในให้สูญหายไป และให้คงมีแต่พระธรรมอันเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธองค์อยู่ในจิตใจเท่านั้น
ประวัติบ้านเกิด
บรรพบุรุษของหลวงพ่อปานอพยพมาจากกรุงศรีอยุธยาเมื่อครั้งกรุงแตกเสียแก่พม่าครั้งที่ 2 (พ.ศ.2310) มาตั้งรกรากอยู่บริเวณบ้านสนามเรือนหรือที่เรียกกันว่าหมู่บ้านโคกเศรษฐี เพราะพวกที่อพยพมาครั้งนั้นล้วนเป็นพวกเศรษฐีทั้งสิ้น
บริเวณนี้ยังเป็นป่ารก มีแม่น้ำสายหนึ่งไหลผ่านป่าดงพงพีนี้ออกมาทะเลที่บางเหี้ย และในทุกครั้งที่น้ำทะเลขึ้น น้ำเค็มจะทะลักเข้าไปตามแม่น้ำลำคลองต่างๆ จนเป็นเหตุให้ชาวบ้านที่อาศัยปลูกบ้านเรือนอยู่ในแถบนั้น ต้องได้รับความลำบากอยู่เป็นเนืองนิตย์
เขตที่น้ำทะเลกับน้ำจืดมาพบกันนี้ มีทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำชุกชุมมาก สัตว์ที่มีมากเป็นพิเศษอาศัย ปู ปลาเป็นอาหารคือ "ตัวเหี้ย" ต่อมาชาวบ้านต้องทำประตูน้ำกันน้ำทะเลไว้ เพื่อมิให้น้ำเค็มขึ้นไปปนกับน้ำจืดและเพื่อป้องกันสัตว์เลื้อยคลานที่มีอยู่ชุกชุมมิให้แพร่หลายไปตามลำคลองต่างๆอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านจึงตั้งชื่อหมู่บ้านว่า "บ้านบางเหี้ย" และตั้งชื่อแม่น้ำว่า "แม่น้ำบางเหี้ย"
วัดในท้องถิ่น
วัดบางเหี้ยนั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 วัดคือ วัดบางเหี้ยนอก (วัดมงคลโคธาวาส) กับวัดบางเหี้ยใน (วัดโคธาราม) เป็นวัดที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำบางเหี้ยทั้ง 2 แห่ง เพราะชาวบ้านตั้งเรือนอยู่ริมน้ำ ตลอดแนวทั้ง 2 ฝั่งและต้องอยู่ห่างกันเป็นระยะๆ
กลับสู่บ้านเกิด
หลังจากศึกษาในเรื่องกรรมฐานจนเป็นที่พอใจแล้ว หลวงพ่อปานได้กราบลาสมเด็จพระศรีศากยมุนีผู้เป็นทั้งพระอาจารย์และเจ้าอาวาสวัดแจ้ง เดินทางกลับบ้านมายังวัดบางเหี้ยนอกอันเป็นบ้านเกิด ในการกลับมาครั้งนี้ได้มีพระภิกษุรูปหนึ่ง ชื่อหลวงพ่อเรือน ได้ติดตามมาอยู่กับท่านด้วยซึ่งหลวงพ่อปานกับหลวงพ่อเรือนนี้ท่านชอบไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ
เมื่อมาอยู่ที่วัดบางเหี้ยนอกแล้ว หลวงพ่อปานได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลพระภิกษุสงฆ์ในวัดซึ่งเจ้าอาวาสในขณะนั้นคือ หลวงพ่อถัน ได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้ดูแลพระเณร ด้วยการให้ดูแลในการปฏิบัติและการศึกษา โดยมีพระอาจารย์อิ่ม เป็นผู้ช่วย
หลวงพ่อปาน ได้ปกครอบพระเณรลูกวัดโดยเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการปฏิบัติท่านจะอบรมสั่งสอนการปฏิบัติกรรมฐานให้แก่พระภิกษุสามเณร ตลอดจนประชาชนพุทธบริษัท ให้รู้จักการนั่งสมาธิเจริญภาวนา เป็นประจำทุกวันมิได้ขาด และตัวท่านเองก็ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดจนพระเณรต้องเคารพยำเกรงท่านเป็นอันมาก
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่5) ทรงโปรดฯ
เมื่อประมาณต้นปี พ.ศ.2452 ประตูน้ำที่กันแม่น้ำบางเหี้ยหรือที่เรียกกันทุกวันนี้ว่า "ประตูน้ำชลหารพิจิต" หรือที่เรียกกันโดยทั่วๆไปว่าประตูน้ำคลองด่าน ปิดน้ำไม่อยู่ แม้นายช่างผู้ชำนาญจะซ่อมสร้างสักเท่าใด ประตูน้ำก็ยังชำรุดอยู่ทุกๆปี จนกระทั่งข้าราชการในท้องถิ่นแห่งนั้นได้ปรึกษากันและได้นำความขึ้นไปกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ให้ทรงทราบ และขอให้พระองค์ทรงพระกรุณาธิคุณรับที่จะเสด็จไปตามความประสงค์ของพสกนิกร
เพราะในสมัยนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่มีเดชานุภาพมาก เมื่อพระองค์ท่านเสด็จไป ณ ที่ใด ณ ที่แห่งนั้นจะเป็นที่มีความเจริญทั้งเป็นสิริมงคลแก่พสกนิกร และสถานที่เป็นอย่างมาก ซึ่งเมื่อพระองค์ทรงทราบความที่ข้าราชการใหญ่น้อยกราบบังคมทูลเช่นนั้น พระองค์จึงทรงพระมหากรุณาธิคุณรับที่จะเสด็จไปตามความประสงค์ของพสกนิกร
นับได้ว่าประตูน้ำชลหารพิจิตรในทุกวันนี้ เป็นประตูน้ำที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งในสมัยนั้น เพราะพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงเสด็จทางชลมารค มาประทับอยู่ถึง 3 วัน และสิ่งที่ชาวบางเหี้ยทราบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นก็คือ พระองค์ทรงเปลี่ยนนาม ตำบลบางเหี้ย เป็นตำบลคลองด่าน และเปลี่ยนชื่อแม่น้ำบางเหี้ยเป็นแม่น้ำคลองด่าน และเปลี่ยนจากอำเภอบางเหี้ยมาเป็น อำเภอบางบ่อ จึงนับเป็นนิมิตหมายอันดีที่ชาวบางเหี้ยได้เป็นชาวคลองด่านตราบเท่าทุกวันนี้ และนับว่าเป็นโชคอันดีที่พระองค์ทรงพระกรุณาธิคุณ พระราชทานนามด้วยพระองค์เอง โดยพสกนิกรมิได้ทูลขอแต่ประการใด ซึ่งสมควรที่ชนรุ่นหลังควรระลึกนึกถึงและภูมิใจว่า ครั้งหนึ่งในตำบลบางเหี้ย ได้เป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในอดีต อันอนุชนรุ่นหลัง ควรระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ไว้ตลอดไปชั่วกาลนาน
หินวิเศษ
หลวงพ่อปานวัดบางเหี้ยนอก ท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่มีวิชาอาคมตลอดถึงทางด้านจิต สามารถสร้างฤทธิ์ให้ปรากฏแก่สายตาของญาติโยมได้เสมอ คุณวิเศษของหลวงพ่อปานได้เล่าต่อกันมาว่า
หลวงพ่อปาน ท่านเป็นพระนักเดินธุดงค์ ชอบไปป่าหาความวิเวกมุ่งปฏิบัติธรรมโดยลำพังเสมอถ้ามีโอกาสแต่โดยส่วนรวมแล้วท่านจะมีพระภิกษุสามเณรติดตามกันออกบำเพ็ญธรรมอยู่ประจำเช่นเดียวกัน
การเดินธุดงค์กรรมฐานของหลวงพ่อปานนี้เอง ท่านไปได้พบกับสิ่งที่เรียกว่า "หินวิเศษ"
หินวิเศษ เป็นวัตถุสีเขียวแววมาก โดยขนาดเท่าเมล็ดถั่วดำและข้างๆของหินวิเศษนี้มีเต่าหิน ที่ถูกสลักมาจากหินทราย สีออกน้ำตาลแดงเล็กน้อย หลวงพ่อปานรู้ด้วยวาระจิต และนิมิตที่จะได้มาซึ่งสิ่งนี้ก่อนออกเดินธุดงค์ด้วยซ้ำไป ภายหลังนั้นท่านได้นำกลับมาไว้ที่วัดบางเหี้ยนอก (วัดมงคลโคธาวาส) ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ
ความลับในศาล
ท่านพระครูโกศล (ปาสาธิโก) ได้เล่าให้ฟังว่า ของวิเศษนั้น หลวงพ่อปานไม่เคยเปิดเผยอะไรกับใครเลย ท่านได้นำไปไว้ยังศาลที่ปลูกไว้ภายในบริเวณเขตวัดสมัยก่อนวัดโบราณ มักจะมีศาลเพียงตาที่เจ้าอาวาสท่านนำเอาพระพุทธรูปไปประดิษฐานไว้ และเป็นพระพุทธรูปศิลาที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วย นอกจากนี้ศาลเพียงตาบางแห่ง บางวัด ยังเป็นที่สิงสถิตของเทพเทวดาที่รักษาอารามต่างๆ เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขหลวงพ่อปานท่านก็ได้นำเต่าวิเศษที่สลักมาจากศิลาทรายมาไว้ที่ศาลเพียงตา ใครไปมาหรือจะมากราบไหว้พระพุทธรูปในศาลเพียงตาก็มักจะเห็นเต่าศิลาตัวนั้น บางคราวกลับหายไป แต่ก็ไม่มีใครสนใจไปกว่าได้กราบหลวงพ่อปานในศาลเท่านั้นเป็นพอใจ พระเต่าหินนั้นเป็นเพียงวัตถุธรรมดา เป็นที่น่าสังเกตทุกครั้งที่เต่าหายไป ก็จะเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่หลวงพ่อปานหายไปด้วยทุกคนเข้าใจว่าหลวงพ่อปาน คงไปธุดงค์ในป่า แต่ถ้าธุดงค์ทำไมจึงต้องนำเต่าหินนั้นไปด้วยเล่า มันทั้งหนักและยากแก่การรักษาดูแล ต่อมาอีกสองวันหลวงพ่อปานกลับมายังวัด เต่าหินหินตัวนั้นก็มาวางไว้ที่เก่า ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่สงสัยของสามเณรน้อยองค์หนึ่ง สามเณรน้อยองค์นี้คอยดูพฤติกรรมของเต่าศิลาตัวนี้ว่ามันหายไปไหน ใครพามันไปทั้งๆที่หนักแทบแย่
เต่าหินบินได้
สามเณรน้อยองค์นี้ มีความมานะพยายามเป็นอย่างยิ่ง ท่านคอยซ่อนตัวแอบดูพฤติการณ์ของเต่าหินที่มีนัยน์ตาเป็นหินสีเขียวแวววาวสดใสทั้งสองข้าง ซึ่งหลวงพ่อปานท่านได้พอพร้อมกัน และเมื่อนำหินสีเขียวใส่ลงไปตรงจุดดวงตาของเต่าหินก็เข้ากินสนิทดี ท่านจึงนำมาประกอบให้ครบถ้วนและนำมาไว้ที่ศาล
ความมานะพยายามของสามเณร ก็หาได้พ้นความเป็นผู้มีปัญญาของพระอาจารย์ไปได้ไม่ หลวงพ่อปานท่านรู้แล้วว่า สามเณรองค์นี้เกิดความสงสัยที่เต่าหินหายไปพร้อมกับท่าน ท่านจึงแอบมาดูสติปัญญาของสามเณรน้อยอย่างเงียบๆ
ส่วนสามเณรก็เห็นความประหลาดมหัศจรรย์ก็ตอนเดือนดับอันเป็นวันข้างแรม พอมืดค่ำลงหน่อย บ้านบางเหี้ยก็ตกอยู่ในความ จะมีแสงตะเกียงน้ำมันก๊าดวอมแวมพอเห็นแสงบ้าง แต่ส่วนมากจะดับไฟพักผ่อนหลับนอนกันหมดสิ้ ทันใดนั้น สามเณรน้อยต้องตกตะลึงตัวชาอยู่กับที่ เพราะภาพเบื้องหน้าของท่านนั้น เต่าหินกำลังเคลื่อนไหว คลานออกจากที่ จากนั้นเต่าหินได้แสดงความอัศจรรย์ลอยไปในอากาศเรียกว่าเต่าหินเหาะก็ไม่ผิดหายลับไป สามเณรพยายามข่มตาไม่ยอมหลับนอน ทนไว้เพื่อจะได้ดูตอนที่เต่าหินจะกลับมาที่เก่าหรือไม่ เวลาล่วงไปเกือบย่ำรุ่ง ประมาณตี 4 สามเณรน้อยก็ต้องอัศจรรย์ใจอีกครั้งหนึ่งคือ เต่าหินดวงตาสีเขียวสดใสนั้นได้เหาะกลับมา แล้วคลานเข้าไปอยู่ที่เดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สามเณรเดินกลับไปจับพลิกเต่าหินดูก็ไม่มีอะไรผิดปรกติ เป็นหินที่เขาสลักมาจากหินทรายธรรมดา ๆ ถ้าไม่ใช่ของกายสิทธิ์ ก็คงจะคลานแล้วเหาะไปในอากาศไม่ได้แน่นอน
เกาะนี้อยู่ที่ไหน
หลวงพ่อปานวัดบางเหี้ยนอก ท่านได้แอบดูสามเณรน้อยที่เป็นศิษย์ของท่านอยู่หลายวัน คือท่านลองดูความมานะอดทนตลอดถึงไหวพริบปัญญาจะสามารถคลายความสงสัยและเอาตัวรอดได้อย่างไรผ่านสามเณรน้อยก็หาได้รู้ว่า บัดนี้อาจารย์ของตนกำลังแอบดูตนอยู่เพราะมัวแต่มองดูพฤติการณ์ของเต่าหิน สองทุ่มของบ้านบางเหี้ยสมัยก่อน ก็นับว่าดึกโขอยู่แล้ว สามเณรน้อยได้เฝ้ามองดูเต่าหินกำลังจะหายไปด้วยการทำตัวลอยขึ้นไปเหาะไปเวลาตี 4 ก็จะกลับมาอยู่ที่เก่าทุกๆ วันแรม 15 ค่ำ ในที่สุดคราวนี้สามเณรน้อย ท่านคอยเฝ้าอย่างทะมัดทะแมงเตรียมตัวที่จะไปผจญภัยกับเต่าหินตัวนี้ให้จงได้
เมื่อได้เวลา เต่าหินนัยน์ตาสีเขียวสดใสได้ค่อยๆคลานลงมาจากที่แล้วตรงไปที่ลานพื้นดินก่อนลอยตัวขึ้น สามเณรน้อยได้ปราดออกมาจากที่ซ่อนกระโดดกอดเต่าหินตัวเขื่องไว้แน่น เต่าหินค่อยๆลอยขึ้นจากนั้นก็เหาะไปในอากาศ สามเณรน้อยกอดไว้แน่นเพราะเกรงว่าจะตกลงไปเบื้องล่าง ในที่สุดก็มาถึงเกาะแห่งหนึ่ง ซึ่งสามเณรก็ไม่รู้ว่าเป็นสถานที่แห่งใด อยู่มุมใดของโลก มองไปรอบๆตัว ก็พบกับแสงสว่างเย็นตาน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก
เป็นจริงมิใช่ฝัน
เต่าหินค่อยๆลอยต่ำลง เมื่อถึงพื้นดินแล้วก็ตรงไปยังป่าไผ่ไปหาหน่อไม้กิน หล่อแล้วหน่อเล่า เต่ากินเข้าไปอย่างไม่รู้จักอิ่ม สามเณรมองเห็นหน่อไผ่ใกล้ๆตัว ก็พยายามเอามือข้างซ้ายจะหักหน่อไม้มาดูเป็นที่ระลึก และจะได้เป็นสักขีพยานของตัวเองให้หายสงสัยว่า นี่เรามาอยู่บนเกาะแห่งนี้มิได้ฝันไปแต่อย่างใด แต่เป็นการมาพร้อมกับเต่าหินจริงๆ เต่าหินกินหน่อไม้ไผ่ไปเป็นทาง สามเณรก็ไม่กล้าลงจากหลังเต่าเพราะเกรงจะถูกปล่อยทิ้งไว้ ในที่สุดมือซ้ายก็ได้รั้งหักหน่อไม้ได้มาหน่อหนึ่งกำไว้แน่น เต่าหินกินไปแล้วไม่รู้กี่สิบหน่อจนได้เวลาก็เหาะกลับทันที แต่ขณะเดินทางกลับมาสามเณรน้อยไม่สามารถจดจำทางได้เลย เมื่อมาถึงบริเวณเดิม สามเณรน้อยองค์นั้นก็ถือหน่อไม้กลับเข้าไปกุฏิ ส่วนเต่าหินก็ไปประจำที่ของมัน
ถอดตาวิเศษ
หลวงพ่อปานท่านพิจารณาดูจนถ้วนทั่วแล้ว เรื่องความลับที่ท่านไปได้เต่าศิลา กับดวงตาเป็นหินสีเขียวนี้ ไม่เป็นความลับอีกต่อไป หลวงพ่อปานจึงออกจากที่ซ่อน ตรงไปยังศิลาเต่าตัวนั้นแล้วแกะเอาดวงตาวิเศษอันเป็นหินสีเขียวสดใสนั้นเก็บเสีย นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เต่าศิลาที่สลักจากหินทรายซึ่งหลวงพ่อปานได้ไปพบมาจากป่าเมื่อครั้งเดินธุดงค์ก็ไม่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้อีกต่อไป ปัจจุบันเต่าหินตัวนี้ยังปรากฏอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดใกล้เคียง ส่วนตาวิเศษนั้น เข้าใจว่าหลวงพ่อปานได้ทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ไปแล้ว เพราะสิ่งของอันวิเศษนี้บุคคลธรรมดาๆไม่สามารถรักษาไว้ได้ นอกจากผู้มีวาสนาบารมี เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน พระองค์จะทรงรักษาไว้ได้ ลักษณะหินสีเขียวสดใสนี้ พระครูโกศล(ปาสาธิโก)ได้เล่าให้ฟังว่าเป็นลักษณะยาวรีๆเล็กน้อย โตเท่าเมล็ดถั่วดำ สีสันงดงามแวววาวดั่งเพชรน้ำเอก
ลองดีก็เจอดี
คราวหนึ่งหลวงพ่อปานได้เดินธุดงค์ ไปทางจังหวัดปราจีนบุรีท่านได้ไปถึงวัดโพธิ์ศรี พอไปถึงวัด เจ้าอาวาสวัดนั้นกำลังขึงกลองเพลอยู่ เมื่อท่านเห็นเข้าก็ลงมือช่วยเหลือทันที พอเสร็จเรียบร้อยแล้วสมภารวัดก็นิมนต์ให้หลวงพ่อปานขึ้นไปบนกุฏิ ขณะที่คุยกันอยู่นั้นมือของสมภารก็ปั้นลูกดินกลมๆอยู่ในมือ สักครู่หนึ่งท่านสมภพก็โยนลูกดินที่ปั้นอยู่นั้นขึ้นไปในอากาศ และได้กลายเป็นม้าตัวหนึ่ง กับตุ๊กตาตัวหนึ่งไล่จับเหยี่ยวอยู่บนท้องฟ้า
ซึ่งหลวงพ่อปานเห็นเข้าก็หัวเราะชอบใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แต่พอหลวงพ่อปานลงจากกุฏิของสมภารแล้ว ท่านได้พูดกับพระในวัดนั้นว่า โดนของดีเข้าให้แล้ว หลวงพ่อปานพูดจบ ท่านจึงหยิบเอาผ้าสังฆาฏิที่พาดบ่าของท่าน ได้กลับกลายเป็นกระต่ายอยู่หลายตัว วิ่งกันอยู่ในลานวัด ซึ่งใครจะไปไล่จับก็จับไม่ได้ เป็นที่อัศจรรย์แก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเมื่อหลวงพ่อปาน ท่านจะออกเดินธุดงค์ครั้งใด ท่านจะต้องมุ่งหน้าไปทางอำเภอศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรีเสมอไป เพราะในท้องถิ่นย่านนั้นเต็มไปด้วยพระอาจารย์ ผู้มีวิชาอาคมแก่กล้าทั้งนั้น ซึ่งในบางครั้งวิชาอาคมที่ท่านยังมิได้เรียน ก็จะได้เรียนเพิ่มเติมให้สูงขึ้นไปอีก
ชีวิตนี้สั้นนัก
อย่างไรก็ตาม คำบอกเล่าของคุณวิเศษของหลวงพ่อปานท่านมีมากนัก ท่านพระครูโกศล(ปาสาธิโก) ท่านเล่าให้ฟังดังนี้ หลวงพ่อปานท่านเก่งในเรื่องจิต ท่านแสดงฤทธิ์มากมาย เป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่มีญาติโยมนับถือมาก ท่านได้เคยเล่าสรรพคุณที่เต่าหินวิเศษที่พาไปท่านในเมืองลับแล ซึ่งเป็นภพอันซับซ้อนกันอยู่นี้ ได้ไปพบกับสิ่งอัศจรรย์หลายอย่างพอเป็นคติเตือนใจ
ครั้นเมื่อกลับมาจากการท่องเที่ยวในครั้งนั้นแล้ว หลวงพ่อปานก็ได้โหมการปฏิบัติพระกรรมฐานอย่างหนัก ไม่ปล่อยกาลเวลาให้พ้นไปด้วยท่านตระหนักว่า ชีวิตของท่านนั้นสั้นหนักหนา จะมีเวลาก็ควรตักตวงกำไรอันได้แก่การภาวนา ทำจิตให้สดใสชื่นบานมีกำลังจิต มีกำลังสมาธิมีกำลังปัญญาติดตามตัวไปในภายหน้า อุบายการพิจารณาธรรมของท่านคือ การพิจารณาสภาวธรรมความจริงแห่งวัฏฏะ ให้ได้คืนคลายความเกิด คืนคลายความแก่ คืนคลายความเจ็บ คืนคลายความตาย
เพราะใจไปยึด
หลวงพ่อปานท่านมีความเข้าใจอย่างแน่แท้ว่า สรรพสิ่งในโลกนี้สามารถวนเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลเวลาก็เพราะจิตเข้าไปยึดมั่น เหตุทั้งปวงเกิดจากที่จิตที่ปรุงแต่งอยู่ตลอดกาลในอารมณ์ ถ้าได้ระงับดับความวุ่นวายให้ได้แล้ว ย่อมเกิดความสุข และการระงับดับเหตุทั้งปวงก็มิได้ อยู่ที่อื่น แท้จริงแล้วต้องระงับที่ใจเพราะใจเป็นต้นเหตุ แต่ใจเป็นใหญ่ ใจนี้เป็นประธานผู้ระงับ จะได้ผลก็ได้ที่ใจ และถ้าจะเสียผลก็เสียผลที่ใจเท่านั้น
ยอดนักปกครอง
ในด้านการปกครองพระเณรลูกวัดของหลวงพ่อปานนั้น ท่านได้ใช้พรหมวิหารธรรมเป็นที่ตั้ง คือ
- เมตตา ความรักใคร่ปรารถนาจะให้เป็นสุข
- กรุณา ความสงสารคิดจะช่วยให้พ้นทุกข์
- มุฑิตา ความพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี
- อุเบกขา ความวางเฉยไม่ดีใจไม่เสียใจ เมื่อผู้อื่นถึงความวิบัติ
ส่วนในด้านการศึกษานั้น ถ้าพระเณรรูปใดประสงค์ที่จะเข้ามาจำพรรษาอยู่ที่วัดของท่าน ต้องท่องจำทั้ง 7 ตำนาน และ12ตำนานให้ได้เสียก่อน มิเช่นนั้นท่านจะคาดโทษให้อยู่แค่ 3 พรรษา ถ้ายังท่องไม่ได้ก็ให้พิจารณาตัวเองต่อไป การศึกษาของพระภิกษุสามเณรในสมัยนั้น มีศึกษาพระวินัยขันธ์อย่างเดียว คือถือระเบียบวินัยเป็นหลักใหญ่ เพราะหลวงพ่อปานท่านถือเคร่งในพระธรรมวินัยมาก และท่านมีความมุ่งมั่นในทางปฏิบัติพระกรรมฐานอย่างเดียว คือ การฝึกฝนจิตใจให้มีความสะอาด บริสุทธิ์โดยมุ่งพระนิพพานเป็นที่หมาย เพื่อให้พ้นอบายภูมิอันเป็นวัฏฏะหมุนวนที่ไม่รู้จักจบ หลวงพ่อปานได้เน้นหนักให้พระเณรลูกวัดเดินทางสายปฏิบัติอย่างเคร่งครัดซึ่งในทุกๆปี เมื่อออกพรรษาแล้ว ท่านจะนำพระภิกษุสามเณรออกเดินธุดงค์ไปในที่ต่างๆเป็นประจำ
น้ำมนต์หลวงพ่อปาน
ทุกครั้งที่หลวงพ่อปานเดินธุดงค์ผ่านไปตามเส้นทางที่ท่านใช้เดินทางประจำ ชาวบ้านที่อยู่ริมทางจะพากันออกมาขอน้ำมนต์จากท่านตลอดทางซึ่งน้ำมนต์ของท่านได้ทำไว้แล้ว เทใส่กาน้ำ จากนั้นท่านก็หิ้วติดมือมาเมื่อมีใครขอท่านก็เทให้ไป แต่เป็นที่น่าแปลกใจอย่างยิ่งที่น้ำมนต์ในกาของท่านเพียงน้อยนิด แต่ไม่ยอมหมดสักที ทั้งๆที่ท่านก็เทให้ชาวบ้านไปตลอดทาง จึงเป็นที่อัศจรรย์แก่ชาวบ้านที่พบเห็นยิ่งนัก และน้ำมนต์ของท่านมีความศักดิ์สิทธิ์มาก ซึ่งถ้าใครได้ไป มีแต่จะประสบกับความเป็นสิริมงคลตลอดทั้งครอบครัว และถ้าใครคลอดลูกยากก็มาขอน้ำมนต์จากท่านเป็นได้คลอดลูกง่ายกว่าปกติ ตามเส้นทางที่ท่านได้ผ่านไปนั้นชาวบ้านได้สงวนไว้เป็นเส้นทางส่วนบุคคล ซึ่งยังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ที่ ต.คลองด่าน และบางแห่งก็ได้ถูกสิ่งก่อสร้างกลบเกลื่อนไปบ้างแล้วตามกาลสมัยที่ได้ล่วงเลยมาเป็นเวลานานปี
วัดหลวงพ่อปาน
ด้วยอำนาจบารมีอันสูงยิ่งที่หลวงพ่อปานได้บำเพ็ญมา จึงทำให้ประชาชนมีความศรัทธาไม่เสื่อมคลาย คือไม่ว่าท่านจะไปปักกลดเพื่อบำเพ็ญธรรม ณ ที่ใด เมื่อท่านออกเดินธุดงค์ไปแล้วชาวบ้านก็จะก่อสร้างมูลดินเป็นเจดีย์ไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ไว้ให้คนรุ่นหลังได้รู้ว่า ณ ที่แห่งนี้ คือสถานที่ซึ่งหลวงพ่อปานได้มาปักกลดเพื่อเจริญกรรมฐานมาแล้ว และบางแห่งถึงกับได้ก่อสร้างเป็นวัดขึ้น เช่น วัดศรีจันทราราม วัดสว่างอารมณ์ วัดปานประสิทธาราม วัดสองคลอง วัดหงส์ทอง เป็นต้น
ซึ่งความจริงแล้วหลวงพ่อปาน ท่านมิได้ไปสร้างวัดเหล่านั้นขึ้นมาแต่อย่างใด แต่เป็นเพียงสถานที่ที่ท่านเคยธุดงค์ผ่านไปและได้อยู่ปฏิบัติธรรมด้วยการปักกลดเพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่ด้วยความศรัทธาและเลื่อมใสในปฏิปทา กับทั้งข้อวัตรปฏิบัติของท่าน ที่มีต่อพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ชาวบ้านซึ่งเป็นพุทธศาสนิกชนจึงได้พร้อมในกันก่อตั้งวัดเพื่อเป็นการระลึกถึงความมีเมตตาของท่านที่มีต่อสานุศิษย์อย่างสม่ำเสมอจะกระทั่งมรณภาพไปความเป็นพรหมวิหารธรรมของหลวงพ่อปานจึงเป็นอมตะตราบเท่าทุกวันนี้ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เข้าใจอย่างถูกต้อง ชื่อของวัดที่ท่านจำพรรษาอยู่คือ วัดมงคลโคธาราม ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ กุฏิที่พำนักของท่าน ประชาชนได้ร่วมกันบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่เมื่อ พ.ศ.2517 โดยคงสถานที่และรูปแบบเดิมไว้ อันเป็นที่ที่ประดิษฐานรูปหล่อของหลวงพ่อปานในปัจจุบันนี้(พ.ศ.2535)
รูปหล่อหลวงพ่อปาน
ก่อนหน้าที่หลวงพ่อปานจะมรณภาพนั้น ประชาชนที่มีความเคารพบูชาหลวงพ่อต่างก็มีความคิดเป็นอันเดียวกัน คือพร้อมใจกันหล่อหลวงพ่อปานขั้นมาองค์หนึ่งเท่าๆองค์จริงของท่าน (เพราะปกติหลวงพ่อจะออกเดินธุดงค์ทุกปีใกล้ๆเข้าพรรษาจึงจะกลับวัด ) เนื่องจากหลวงพ่อท่านไม่ค่อยอยู่ประจำวัดนั่นเอง เพราะท่านมักจะออกเดินธุดงค์ไปในที่ต่างๆเป็นประจำ เมื่อชาวบ้านไปกราบท่านที่วัดก็มักจะผิดหวังเป็นประจำ ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันหล่อรูปเหมือนขึ้นแทนตัวหลวงพ่อปาน ซึ่งเมื่อท่านไม่อยู่ก็จะได้กราบรูปหล่อของท่านแทน
แต่เมื่อภายหลังการหล่อรูปเหมือนของท่านขึ้นแล้ว หลวงพ่อก็ไม่ค่อยจะเข้าวัด โดยท่านจะปลีกตัวไปอยู่ประจำที่พระปฐมคลองด่านซึ่งพระปฐมนี้เป็นอีกที่หนึ่งที่ท่านมาปักกลดอยู่ปฏิบัติธรรมเป็นประจำตั้งอยู่ทางทิศใต้ของวัด ไม่ไกลจากวัดของท่านมากนัก การที่หลวงพ่อปานไม่อยากเข้าไปอยู่ที่วัดของท่านนั้นเป็นเพราะท่านคงรู้วาระจิตล่วงหน้าถึงคราวที่ท่านจะหมดอายุขัยแล้ว แม้ว่าท่านจะรู้แต่ก็ไม่กล้าพูดกับใคร แต่เป็นทำนิมิตอันเป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าท่านไม่อยากเข้ามาอยู่ในวัดนั้น เพราะถ้าเข้ามาก็คงอยู่ได้อีกไม่นาน ชีวิตร่างกายของท่านก็ต้องดับและเสื่อมไป เช่นเดียวกันกับทุกชีวิตของบุคคลอื่นๆ เมื่อญาติโยมมาอ้อนวอนมากๆเข้า ท่านก็พูดเบี่ยงเบนไปว่า เข้าไปไม่ได้ อ้ายดำมันอยู่ ขืนเข้าไป อ้ายดำมันจะเอาตาย คำว่าอ้ายดำ ของหลวงพ่อปานนั้น ก็คือรูปหล่อของท่านเอง และรูปหล่อก็หมายถึงตัวแทนของหลวงพ่อปาน ซึ่งมีรูปหล่อด้วยโลหะที่เป็นตัวแทนแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องมีชีวิตร่างกายอันเจริญเติบโตด้วยข้าวสุก มีเนื้อปลาเป็นอาหารนับวันมีแต่จะเน่าเปื่อยผุพัง ไม่จีรังยั่งยืน จะต้องทำความโศกเศร้าเสียใจให้แก่คนที่อยู่เบื้องหลัง หลวงพ่อปานจึงพูดบ่ายเบี่ยงไปว่า อ้ายดำมันอยู่ ดังกล่าว ปัจจุบันนี้รูปหล่อของหลวงพ่อปาน ที่ท่านเรียกว่าอ้ายดำนั้นประดิษฐานอยู่ที่วัดมงคลโคธาวาสนั่นเอง คืออยู่ที่กุฏิหลวงพ่อปานที่ได้จักบูรณะขึ้นมาใหม่
อภินิหารรูปหล่อ
รูปหล่อของหลวงพ่อปานนั้น มีความศักดิ์สิทธิ์เท่ากับองค์จริงของท่านทีเดียว ผู้มีศรัทธาในตัวท่านไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็เดินทางมากราบไหว้รูปหล่อของท่านมิได้ขาด ซึ่งเรื่องราวความขลังและศักดิ์สิทธิ์ของรูปหล่อของหลวงพ่อปานนั้นเป็นที่ทราบกันดีของชาวตำบลคลองด่าน และใกล้เคียงตลอดจนคนต่างถิ่นที่อยู่หางไกล บางคนมาอธิษฐานขอน้ำมนต์จากท่านไปรับประทาน เพื่อให้หายจากการเจ็บป่วยต่างๆ ก็ปรากฏว่าหายดั่งคำอธิษฐาน และบางรายกำลังนอนป่วยอยู่ หลวงพ่อก็ไปเข้าฝันให้ไปเอาน้ำมนต์จากท่านไปรักษาไม่ต้องไปหาหมอที่ไหนก็หาย
ครั้งหนึ่งลูกชายชาวบ้านคลองด่านชื่อนายปรีชาป่วย เขาได้พาไปรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาฯ เพราะอาการป่วยหนักมาก เมื่อไปถึงโรงพยาบาลอยู่ถึง 2 วัน แต่หมอก็ยังตรวจอาการไข้ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ด้วยความเป็นห่วงในลูกของตน พอนอนตอนกลางคืน เขาได้อธิษฐานจิตถึงหลวงพ่อปานและในคืนนั้นเองเข้าได้ฝันว่าหลวงพ่อปานได้บอกให้เอาน้ำมนต์ของท่านมากิน และให้เขาเอาทองที่ปิดอยู่ริมฝีปากของท่านไปขยี้ที่หน้าผากคนป่วยและให้รับตัวมาบ้านเสียแล้วก็จะหาย นายปรีชาได้ปฏิบัติตามความฝันทุกประการ ปรากฏว่าอาการป่วยของลูกชายที่หนักจนหมอวิเคราะห์โรคไม่ถูกถึงกับปล่อยให้นอนอยู่โรงพยาบาลถึง 2 วันก็มีอาการดีขึ้นและก็ค่อยๆหายจากโรคไปในที่สุด ยังมีอีกหลายรายที่ประสบกับเหตุการณ์อภินิหารของรูปปั้นหลวงพ่อปานองค์ศักดิ์สิทธิ์ที่วัดมงคลโคธาวาสแห่งนั้นว่ามีอยู่จริงซึ่งแม้แต่พระเถระผู้ใหญ่ในสมัยนั้นถ้าทำกิจธุระที่วัดแห่งนี้แล้ว เป็นต้องไปกราบนมัสการรูปหล่อของหลวงพ่อปานก่อนเสมอ บางครั้งรูปหล่อของหลวงพ่อปาน ยังไปเข้าฝันเจ้าอาวาสองค์ก่อนๆให้ไปจุดธูปเทียนบูชาเสมอๆ นับว่าท่านมีความคลังและศักดิ์สิทธิ์ไม่เสื่อมคลายแต่ประการใด เพราะเป็นรูปหล่อที่หล่อขึ้นในสมัยที่หลวงพ่อปานยังมีชีวิตอยู่ จึงถือเป็นรูปหล่อจำลององค์แรกที่ประดิษฐานอยู่ ณ วัดมงคลโคธาวาสจนถึงปัจจุบันนี้
ส่วนองค์ที่ประดิษฐานอยู่ตามวัดต่างๆ นั้นเป็นองค์ที่สร้างขึ้นจากความศรัทธาเลื่อมใสในตัวหลวงพ่อจึงคิดจำลองรูปหล่อหลวงพ่อปานวัดมงคลโคธารามไว้หลายๆแห่งเพราะเกิดจากความเคารพเลื่อมใสของประชาชน ซึ่งมีจำนวนมากนั่นเอง แต่รูปแท้และดั้งเดิมคือรูปปั้นที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดมงคลโคธาวาส ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ในทุกวันนี้นั่นเอง
หลวงพ่อปานในสมัยนั้น มิใช่ว่าจะมีอภินิหาร และมีวาจาสิทธิ์อย่างเดียว ท่านยังประกอบด้วยเมตตา แก่ผู้ที่ได้รับทุกข์ต่างๆ ครั้งหนึ่งในสมัยนั้น มีทหารหนีราชการมาอุปสมบทที่วัดหลวงพ่อปานหลายคนด้วยกัน ด้วยความเมตตาแก่ผู้ศรัทธาจะอุปสมบท หลวงพ่อก็จัดการให้เป็นไปตามความประสงค์ของเขา ครั้นอุปสมบทแล้ว ความนั้นก็ทราบถึงกรมทหารฝ่ายกรมทหารก็รายงานมายังคณะสงฆ์ เจ้าคณะมณฑลฝ่ายสงฆ์ จึงเรียกหลวงพ่อปานไปกักขังและสอบสวน เพราะเจ้าคณะมณฑลในสมัยนั้นใช้แทนเจ้าคณะจังหวัดดังเช่นทุกวันนี้
ว่าตามความจริงแล้ว จริยาวัตรของพระอุปัชฌาย์นั้น จะต้องอุปสมบทแต่กุลบุตรที่ไม่มีพันธะผูกพัน บุคคลที่หนีราชการมา หนีที่คุมขังมา ย่อมบวชไม่ได้ แต่หลวงพ่อถือว่าบวชเอาบุญ จะเป็นใครก็ตามในเมื่อเขามีจิตใจเป็นบุญเป็นกุศล อยากบวชก็บวชให้ ในครั้งพุทธกาลก็เคยมีโจรองคุลีมาล เป็นโจรฆ่าคนถึงเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าคน หลบหนีอาญาแผ่นดินมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ยึดเอาผ้ากาสาวพัสตร์เป็นที่พึ่ง พระบรมศาสดาก็บวชให้ตามความประสงค์ของเขา หลวงพ่อพระครูพิพัฒนิโรธกิจ ได้สมณะศักดิ์จากพระเจ้าอยู่หัว เมื่อบวชคนของพระราชาก็คงไม่เป็นอะไร ขณะที่หลวงพ่อถูกกักขังบริเวณอยู่นั้น ประชาชนก็หลั่งไหลไปเยี่ยมหลวงพ่อปานจนแน่นไปหมด ต่างก็ขอร้องให้ปล่อยหลวงพ่อที่เคารพบูชากลับวัด เจ้าคุณศาสนโสภณ ซึ่งเป็นเจ้าคณะมณฑลทนทานต่อแขกที่ไปเยี่ยมหลวงพ่อไม่ไหว อีกอย่างหนึ่งหลวงพ่อเป็นพระที่พระราชาอุปถัมภ์จะลงโทษทัณฑ์อย่างใดก็มีความเกรงต่อพระราชา ผลที่สุดต้องปล่อยหลวงพ่อกลับวัด พร้อมกับความยินดีของประชาชนที่เขาได้หลวงพ่อที่รักของเขากลับมา ด้วยคุณความดีของหลวงพ่อที่มีต่อประชาชนชาวตำบลคลองด่านและทั่วๆไป ในภายหลังต่อมา ประชาชนได้สร้างสิ่งที่เป็นอนุสรณ์สำหรับระลึกถึงหลวงพ่อ ในด้านคุณความดีของหลวงพ่อปาน เช่น ถนน ซอย ทุกสายในตำบลคลองด่าน จะตั้งชื่อเป็นชื่อหลวงพ่อปาน ทั้งฝั่งเหนือและฝั่งใต้ถนนที่เชื่อมระหว่าง อ.บางบ่อ กับ ต.คลองด่าน ระยะทาง 8 กม. จะชื่อถนนปานวิถี วัดที่สร้างขึ้นมาภายหลัง เช่น วัดปานประสิทธาราม โรงเรียนมัธยมประจำตำบลคลองด่าน ชื่อ โรงเรียนหลวงพ่อปานคลองด่านอนุสรณ์และสิ่งที่น่าภาคภูมิใจของเราชาวคลองด่านก็คือ มูลนิธิพิพัฒนิโรธกิจ (หลวงพ่อปาน) วัดมงคลโคธาวาสซึ่งจะทำประโยชน์ให้แก่สาธารณสุขต่างๆไปชั่วกาลนาน